รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ประกาศใช้มาตรการ National Lockdown อีกครั้งในอังกฤษ หลังจากที่ได้  ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ที่ประกาศใช้ในครั้งแรก และใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ซึ่งบรรยากาศทางเศรษฐกิจได้เริ่มทยอยฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมาตรการ Lockdown รอบที่สองนี้ มีกำหนดตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2563 ซึ่งรัฐบาลจะประเมินสถานการณ์เป็นระยะในการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ โดยรัฐบาลหวังว่าการ Lockdown ครั้งนี้จะช่วยลดอัตราการแพร่ระบาดลง หลังจากมีรายงานการตรวจพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศกว่า 1 ล้านคน

มาตรการ Lockdown ในครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งแรกคือ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะยังคงเปิดการเรียนการสอน แต่เนื่องจากรัฐบาลต้องการลดอัตราการรวมกลุ่มของคนจำนวนมากในที่สาธารณะอื่น ๆ ที่จะส่งผลให้เชื้อไวรัสมีโอกาสแพร่กระจาย จึงส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องหยุดทำการชั่วคราว โดยจะอนุญาตให้ร้านที่จำหน่ายสินค้าและบริการที่จำเป็นเท่านั้นเปิดให้บริการ (essential เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง คลีนิค เป็นต้น) สำหรับธุรกิจเกี่ยวกับสินค้า/บริการที่ไม่จำเป็น (non-essential) อาจเปิดให้บริการได้เฉพาะบริการรับสินค้าเท่านั้น ในขณะที่ร้านอาหารและผับต้องปิดการให้บริการในร้าน โดยจะให้บริการได้เฉพาะ take away และ Delivery

ถึงแม้ว่าภาคธุรกิจเริ่มมีความหวังที่จะฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักเห็นว่า การ Lockdown ครั้งที่ 2 นี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีการคาดการณ์ว่าอาจส่งผลให้ GDP ลดลงอีกร้อยละ 5 โดยธุรกิจค้าปลีก การบริการ การท่องเที่ยว จะได้รับผลกระทบโดยตรง อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการ Lockdown ในครั้งนี้ภาคธุรกิจได้มีการเตรียมการและการปรับตัวต่อสถานการณ์พอสมควรมาก่อนหน้านี้ เช่น การปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจทางออนไลน์มากขึ้น และรัฐบาลก็จะขยายเวลาโครงการ Furlough หรือการช่วยเหลือเงินส่วนหนึ่งของเงินเดือนให้แก่แรงงานที่ต้องหยุดพักงานเนื่องจากการ Lockdown

ทั้งนี้ ข่าว สัปดาห์ที่ 1-6 พย 63 – Lockdown-Revised 1หลายฝ่ายกังวลว่าการประกาศมาตรการ Lockdown จะทำลายบรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเนื่องจากร้านค้าสินค้าที่ไม่จำเป็นจะต้องปิดให้บริการจนกว่ารัฐบาลจะประกาศยกเลิกมาตรการดังกล่าว ขณะที่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงการเริ่มต้นจับจ่ายใช้สอยของเทศกาลคริสต์มาส โดยในปี 2563 มีการสำรวจพบว่า ผู้คนกว่าร้อยละ 60 ตั้งใจจะเลือกซื้อของขวัญสำหรับเทศกาลภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจของห้างค้าปลีก John Lewis พบว่าผู้บริโภค 1 ใน 3 ตั้งใจจะเริ่มฉลองเทศกาลคริสต์มาสเร็วขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดและมาตรการต่างๆ ที่รัฐอาจประกาศใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 และกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายในการเลือกซื้อของขวัญลดลงจากปีที่ผ่านมา ในขณะที่ 1 ใน 3 จะจัดทำของขวัญด้วยตนเองมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการขายสินค้างานประดิษฐ์ในห้างเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 85 กระเช้าของขวัญ (Christmas hamper) เพิ่มขึ้นร้อยละ 265 และการ์ดของขวัญเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 ในขณะที่อุปกรณ์ประดับตกแต่งในเทศกาลคริสต์มาส เช่น ไฟประดับ และของประดับตกแต่งต่างๆ มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 40 – 48    ต้นคริสต์มาสสูงขึ้นร้อยละ 128 โดยหลายคนมีแผนจะตกแต่งบ้านมากขึ้นในปีนี้ ซึ่งอาจจะรวมถึงการสร้างบรรยากาศในการฉลองคริสต์มาสทางไกลร่วมกับผู้ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองเทศกาลได้ อย่างไรก็ตาม การประกาศมาตรการ Lockdown นี้จะส่งผลให้ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนการซื้อสินค้าไปเป็นการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์อีกครั้ง และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าบรรยากาศในการเลือกซื้อสินค้าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหรือไม่

ที่มา: The Independent/ The Telegraph/  Financial Times

ข้อคิดเห็น สคต.

          เนื่องจากการแพร่ระบาด COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นในสหราชอาณาจักร รัฐบาลจึงพยายามลดการรวมกลุ่มกันของประชาชนตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร สถานที่สาธารณะ และระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ จึงมีการประกาศมาตรการ Lockdown ครั้งที่ 2 แต่ก็มีความยืดหยุ่นว่าการประกาศในรอบแรกมากพอสมควร โดยธุรกิจมีเวลาในการเตรียมการ Lockdown และมีการอนุญาตให้ร้านอาหารและธุรกิจต่าง ๆ ยังคงดำเนินกิจการได้หากมีมาตรการ social distancing ที่เหมาะสม เช่น การเปิดบริการ take away และการให้บริการรับสินค้าได้ และมีการออกมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและช่วยภาคธุรกิจเป็นระยะ

ช่วง Lockdown รอบแรกที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมีพฤติกรรมนิยมการปรับปรุงตกแต่งบ้านมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าในช่วง Lockdown ครั้งแรกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ร้านขายอุปกรณ์ทำสวนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และในการ Lockdown ครั้งที่ 2 นี้ ของประดับตกแต่งบ้านที่เกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นโอกาสผู้ประกอบการไทยที่จะทำตลาดสินค้าประเภทของตกแต่งบ้าน และของขวัญได้เพิ่มเติมในตลาดสหราชอาณาจักร นอกเหนือจากสินค้าที่มีโอกาสในยุคปกติใหม่ อันได้แก่ เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน ของใช้ภายในบ้าน สินค้าประเภทสันทนาการ เช่น อุปกรณ์กีฬา และอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายที่บ้าน  เป็นต้น