หลังจากที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาโดยการเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนจนสามารถยกเลิกมาตรการ Lockdown และผู้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่หลายฝ่ายยังคงมีความกังวลในเรื่องการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อาจรุนแรงขึ้นในช่วงฤดูหนาว ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่าสถิติผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มสูงขึ้นถึงวันละ 40,000 ราย มียอดผู้เสียชีวิต 263 ราย

รัฐบาลอังกฤษได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในเรื่องการใช้มาตรการรองรับการแพร่ระบาดของ โควิดในช่วงฤดูหนาว โดยมีการกล่าวถึงแผนการรับมือที่ปัจจุบันรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะใช้แผนแรก (Plan A) คือ การเร่งฉีดวัคซีนโดสที่ 3 ให้แก่ประชาชน และเร่งฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุระหว่าง 12-15 ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เห็นว่า รัฐบาลควรเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ได้รับก่อนหน้าอาจมีประสิทธิภาพลดน้อยลงเช่นกัน และคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาเป็นอัตราการติดเชื้อของเด็กซึ่งไม่ได้รับวัคซีน และยังมีความเห็นว่าการใช้ Vaccine passport จะช่วยชะลออัตราการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังพิจารณาการใช้แผนที่ 2 (Plan B) ในการควบคุมการแพร่ระบาดอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการใช้มาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้น มีการบังคับให้ใช้หน้ากากในการใช้บริการสาธารณะ ร้านค้า การใช้ Vaccine passport ในการเข้าร่วมงานที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก และการทำงานจากที่บ้าน โดยรัฐบาลจะเฝ้าระวังตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล การจำกัดจำนวนผู้คนที่ออกมาพบปะกัน และความสามารถในการให้บริการของระบบสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่ารัฐบาลอาจจะเฝ้าสังเกตสถานการณ์ไปจนถึงช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนก่อนตัดสินใจประกาศใช้มาตรการอย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนที่ผ่านมากลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ หมอ พยาบาล เริ่มแสดงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงฤดูหนาวว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรอีกครั้ง เนื่องจากอัตราการติดเชื้อและเข้ารับการรักษาในระบบสาธารณสุขเริ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยโควิดครองเตียงถึง 1 ใน 5 เตียงของผู้ป่วยฉุกเฉิน และผู้ป่วยโควิดมีแนวโน้มใช้เวลา และทรัพยากรในการรักษามากกว่าการรักษาทั่วไป ส่งผลให้บุคคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยโรคอื่นๆ ในโรงพยาบาล ซึ่งจากสถิติพบว่าผู้ป่วยที่รับการรักษาในโรงพยาบาลส่วนมากไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

รัฐบาลสหราชอาณาจักรคาดการณ์ว่า GDP ของสหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยส่งผลให้ GDP ลดลง 2% แต่ยังน้อยกว่าผลกระทบของ Brexit ที่ส่งผลให้ GDP ลดลง 4% อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 – 5% ในปี 2022 และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับคืนสู่ปกติเร็วขึ้น 6 เดือนจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาระบบการขนส่งที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เปิดดำเนินการหลังจาก Lockdown

 

ที่มา: BBC News, The Telegraph, The Guardian

 

ข้อมูลเพิ่มเติม/ ความเห็น สคต.

          นักธุรกิจควรจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในสหราชอาณาจักร ซึ่งมาตรการมี่รัฐนำมาใช้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คน ดังนั้น การดำเนินการวางแผนการเดินทางเพื่อเจรจาธุรกิจในสหราชอาณาจักรควรคำนึงถึงกรณีที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการ Work from home และหากมีการใช้มาตรการใน Plan B ที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดจำนวนคนที่พบปะได้จะส่งผลต่อการจัดงานที่มีผู้คนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังคงยืนยันที่จะใช้ Plan A เนื่องจากเชื่อว่าการใช้มาตรการใน Plan B จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักรซึ่งมีรายงานว่าการบังคับใช้หน้ากากจะส่งผลต่อธุรกิจ hospitality และ event มากถึง 4,000 ล้านปอนด์ สำหรับด้านการส่งออก ผู้ส่งออกควรวางแผนการขนส่งสินค้าล่วงหน้า โดยสหราชอาณาจักรยังคงประสบปัญหาด้านการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าเนื่องจากการขาดแคลนพนักงานขับรถขนสินค้าและคาดว่าจะยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ในเร็วๆ นี้

—————————————————–

สรุปโดย สคต. ลอนดอน